วัส ติงสมิตร ชี้ ‘เสียงหลอนชายแดน’ ไม่ทรมาน

นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่มีการนำรถแห่ไปเปิดเสียงดังบริเวณชายแดน โดยเฉพาะเสียงที่คล้าย “เสียงหลอนชายแดน” จนเกิดเป็นประเด็นทางกฎหมายว่าเข้าข่ายการทรมานจิตใจหรือไม่

จากกรณีที่มีรายงานข่าวว่าทีมงานของ “กัน จอมพลัง” ได้นำรถแห่ติดตั้งเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่ไปเปิดเสียง “หอนคล้ายผี” และ “เสียงเครื่องบิน” บริเวณชายแดนจังหวัดสระแก้ว ในช่วงกลางคืนวันที่ 10 – 13 ตุลาคม 2568 จนทำให้ชาวกัมพูชาในหมู่บ้านฝั่งตรงข้ามเกิดความแตกตื่นตกใจ ทำให้เกิดคำถามว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายการทรมานทางจิตใจ (mental torture) ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือไม่ ซึ่งสอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (CAT) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิกหรือไม่นั้น

นายวัส ติงสมิตร ได้ยกข้อกฎหมายมาอธิบายว่า การกระทำดังกล่าวจะเข้าข่าย “การทรมาน” ตามกฎหมายนั้นมีองค์ประกอบหลายประการที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

วัส ติงสมิตร กับข้อกฎหมายกรณี ‘เสียงหลอนชายแดน’

ประเด็นสำคัญที่นายวัส ติงสมิตรได้ชี้ให้เห็นมีดังนี้:

  1. ตามกฎหมายไทย การกระทำทรมานจะมีความผิดอาญา หากกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใด เช่น (1) ให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือคำรับสารภาพ (2) ลงโทษผู้ถูกกระทำ (3) ข่มขู่ หรือ (4) เลือกปฏิบัติ โดยผู้กระทำต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ (มาตรา 5) มีโทษจำคุก 5-15 ปี และปรับ 100,000 – 300,000 บาท
  2. ตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี “การทรมาน” หมายถึง การกระทำใด ๆ โดยเจตนาที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างสาหัส ไม่ว่าทางร่างกายหรือทางจิตใจ เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือคำรับสารภาพ และที่สำคัญ ต้องเป็นการกระทำ “โดยความยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่ของรัฐ” (ข้อ 1 วรรค 1 ของอนุสัญญาฯ)

วิเคราะห์กรณี ‘เสียงหลอนชายแดน’

เมื่อนำข้อเท็จจริงมาพิจารณาตามหลักกฎหมายแล้ว นายวัส ติงสมิตร เห็นว่า แม้จะมีการกระทำโดยเจตนาเพื่อ “ทำให้ผู้อื่นตกใจหรือหวาดกลัว” แต่ผู้กระทำไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐ และผลที่เกิดขึ้นเป็นเพียง “ความตกใจ” ชั่วคราว ยังไม่ถึงขั้น “ทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างร้ายแรง” ทั้งไม่มีการกระทำใดๆ โดยมีวัตถุประสงค์ตามที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น กรณีนี้จึงยังไม่ครบองค์ประกอบของการกระทำทรมานตามกฎหมายไทยและกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก

นอกจากนี้ นายวัส ติงสมิตร ยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการที่คนสัญชาติไทยนำข้อความอันเป็นเท็จของทางการกัมพูชาที่กล่าวหาว่า หน่วยทหารแห่งราชอาณาจักรไทยได้กระจายเสียงดังกล่าวมาเผยแพร่ต่อ โดยตั้งข้อสังเกตว่ามีเหตุอันควรสงสัยหรือไม่ว่า “ตัวเป็นไทย แต่ใจเป็นเขมร”

จากความคิดเห็นของนายวัส ติงสมิตร ทำให้เห็นว่าการพิจารณาว่าการกระทำใดเข้าข่ายการทรมานนั้น ต้องพิจารณาอย่างรอบด้านและถี่ถ้วน โดยคำนึงถึงองค์ประกอบทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน เพื่อให้การตีความและการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องและเป็นธรรม

กรณี ‘เสียงหลอนชายแดน’ นี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการบังคับใช้กฎหมาย และความสำคัญของการพิจารณาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอย่างละเอียดรอบคอบ

ที่มา – ‘วัส ติงสมิตร’ ยกข้อกฎหมาย เปิด ‘เสียงหลอนชายแดน’ ไม่เข้าข่ายทรมานจิตใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *